1
ในเพลงชื่อ Too Long ของวงราโฌมอน ซึ่งเป็นวงดนตรีไทย เนื้อเพลงตอนหนึ่งสั่นสะเทือนอณูอากาศในยามบ่ายอ้าวว่า
...กี่คนที่หายใจ ด้วยจินตนาการ
กี่รักที่หายไป ด้วยอุดมการณ์...
นี่คือการตั้งคำถามที่ไม่ได้สั่นสะเทือนแค่อากาศรอบๆตัว
แต่ยังสั่นสะเทือนหัวใจของมนุษย์ด้วย
2
ไอน์สไตน์อาจบอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่การผลิตซ้ำความคิดนี้ออกมาเรื่อยๆราวกับมันเป็นสินค้าในอุตสาหกรรมคำคม ก็ทำให้เรามีโอกาสจะละเลยเฉยเมยต่อส่วนหลังของข้อความ และเปิดพื้นที่อันยิ่งใหญ่กว่าให้กับส่วนหน้า
เมื่อเราพูดถ้อยคำนั้นบ่อยเข้า เราจึงมักคิดว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ และมักพลอยเผลอพลั้งคิดไกลไปว่า-ถ้าเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้ก็ได้ไม่ใช่หรือ
แต่ถ้อยคำไม่ใช่ความจริง ถ้อยคำไม่เคยเป็นความจริง สิ่งที่เปล่งออกมาเป็นถ้อยคำได้ ย่อมเหลือความจริงอยู่เพียงส่วนเดียว ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า ถ้อยคำคือตะแกรงร่อนความจริงออกไป แม้แต่ถ้อยคำของเขาก็เชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น กระทั่งเป็นถ้อยคำของบุรุษที่ฉลาดที่สุดในโลกอย่างไอน์สไตน์ คนที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินและเปลี่ยนโลกในแบบนิวตันไปตลอดกาล-ก็ยังเป็นถ้อยคำที่ได้ร่อนเอาความจริงส่วนใหญ่ทิ้งไปด้วย
เด็กมัธยมอาจวิ่งหนีความรู้ เพราะคิดว่าความรู้คือความเคร่งเครียดในโรงเรียน พวกเขาอาจเอาแต่นั่งฝัน และคิดว่านั่นคือจินตนาการ ที่แย่ก็คือ เรามักตัดสินจินตนาการด้วยเงิน ถ้าจินตนาการนั้นกลั่นออกมาเป็นบทเพลงหรือชิ้นงานที่มีมูลค่าทางปัญญา และทำให้เด็กคนนั้นมีรายได้จากลิขสิทธิ์พอเลี้ยงตัวได้หรือโด่งดังทะลุฟ้า ผู้คนก็จะด่วนตัดสินว่าจินตนาการนั้นคือสิ่งที่มีประโยชน์
แต่ประโยชน์นิยมคือสิ่งสำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
3
กลับกัน-กับผู้มีความรู้ ผู้เคยวิพากษ์ประชาธิปไตยและความรุนแรงอย่างซับซ้อน ในวันหนึ่ง เมื่อเขาเลือกจะมีชีวิตอยู่กับจินตนาการบางแบบ จินตนาการที่มีผู้เพ้อฝันร่วม จินตนาการว่ามีผู้นำฝูงที่ยิ่งใหญ่และเป็นคนดี ผู้เคยมีความรู้นั้นก็อาจเลิกวิพากษ์ประชาธิปไตยและความรุนแรงอย่างซับซ้อน หันมามองดูสิ่งเหล่านี้ในฐานะที่มันเป็นเพียงกลไก เป็นเพียงฟันเฟือง เป็นเพียงอาวุธ ที่จะนำมาใช้ห้ำหั่นคนที่ไม่ได้อยู่ในจินตนาการชุดเดียวกัน เพียงเพื่อจะผูกขาดประชาธิปไตยไว้ในฝูงของตน
เมื่อคนเหล่านี้รวมตัวกันใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการแล้ว ต่างก็ช่วยเสริมส่งกันและกันให้มีอำนาจ หรืออย่างน้อยก็คิดไปเองว่าตนมีอำนาจ เมื่อคิดเช่นนั้น พวกเขาก็ยิ่งเดินหายเข้าไปในเมฆหมอกของจินตนาการ-ไกลออกไปจนคล้ายสูญหาย
การวิพากษ์อันซับซ้อนหายไป เหลือเพียงการพูดและทำสิ่งง่ายๆ
แต่ที่เลวร้าย ก็คือเมื่อคนที่มีจินตนาการแตกต่างมาพบปะรวมฝูง พวกเขาชอบคิดว่าจินตนาการของตนคือความจริง ความงาม และความดีสูงสุด
พลางขนานนามจินตนาการของตัวเองว่าอุดมการณ์
พวกเขาจึงพร้อมจะนำความรู้ที่มีอยู่มารับใช้อุดมการณ์เหล่านั้น
ยอกแสยงใจ-เมื่อความรู้ดั้งเดิมอันเคยซับซ้อนได้เสียดแทงจินตนาการของเขา พวกเขาจึงเลือกที่จะฆาตกรรมความรู้เหล่านั้น แล้วปฏิสนธิขึ้นใหม่ให้ความรู้ดั้งเดิมเหล่านั้น ‘ง่าย’ ลง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ จึงกลับกลายไปเป็นทฤษฎีกลศาสตร์ของนิวตัน
และหลายกรณี มันก็กลับไปเป็นทฤษฎีโลกแบนเหมือนสมัยล่าอาณานิคมอีกครั้ง
เพราะเราจะได้ล่าอาณานิคมได้ง่ายดายขึ้น โดยไม่ต้องคิดถึงความว่างเปล่าและการโค้งงอของอวกาศอันซับซ้อน
เพราะเราจะได้ฟาดฟันห้ำหั่นกันด้วยความรุนแรงได้สาสะใจ โดยไม่ต้องคิดถึงทฤษฎีสันติวิธีและทฤษฎีวิพากษ์ประชาธิปไตยที่เคยรู้มา
เราพร้อมจะลืมมันไป
เพราะเราพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ในจินตนาการของเราเท่านั้น
3
กี่รักแล้วเล่า...ที่หายไปในอุดมการณ์
เพราะเราไม่เคยเข้าใจได้เลย ว่าอุดมการณ์ไม่ใช่ความรัก
ถ้อยคำไม่ใช่ความจริงมากแค่ไหน อุดมการณ์ก็ไม่ใช่ความรักมากเพียงนั้น
จินตนาการอาจเป็นความรู้ได้ แต่อุดมการณ์ยิ่งสุดขั้วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความชิงชังรังเกียจจินตนาการที่เป็นอื่นกับจินตนาการของตนมากขึ้นเรื่อยๆ
พระเจ้าจึงโกรธกับซาตาน ทั้งที่เคยรักใคร่กันมาก่อน
คนบางคนจึงมักเห็นว่า ท้องฟ้าและผืนดินนั้นแยกขาดจากกัน ทั้งที่ไม่เคยเป็นอย่างนั้น
และไม่อาจเป็นอย่างนั้น
4
เราใช้เวลายาวนานเพื่อเรียนรู้ที่จะรัก แต่กลับใช้เวลาไม่มากนักในการเรียนรู้เพื่อจะเกลียด
เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มาจากไหน
ถ้อยคำและท่าทีเหล่านี้มาจากไหน
ความฉลาดในการทำลายล้างกันและกันเหล่านี้มาจากไหน
ยิ่งฉลาดเท่าไรยิ่งเห็นแก่ตัวได้ลึกซึ้ง; ฉะนั้นมันจึงมีผลสะท้อนออกมาจากความเห็นแก่ตัวของคนฉลาดเต็มไปหมดทั้งโลก ทุกคนยิ่งฉลาดขึ้น ยิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งฉลาดขึ้น แต่ไม่มีอะไรมาควบคุมความฉลาด เขาก็ยกความฉลาดให้แก่กิเลส แล้วแต่กิเลสมันจะใช้ความฉลาดอย่างไร โลกจึงเป็นอย่างนี้ เต็มไปด้วยคนฉลาด ฝีไม้ลายมือของคนฉลาด แต่แล้วมันก็เพิ่มปัญหามากขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นแปลกๆ มากมาย ทั้งลึกซึ้ง ความทุกข์ยิ่งยาก ยิ่งลำบาก ยิ่งลึกซึ้ง และยิ่งมาก เพราะคนมันฉลาด แต่ไม่มีอะไรมาควบคุมความฉลาด, เขาก็ใช้ความฉลาดไปเสนอสนองความเห็นแก่ตัว, เอ้า เอาซิ ก็เกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้วมันก็ทำไปตามโลภะ โทสะ โมหะ แรงขึ้น แรงขึ้น, เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น. โลภะ โทสะ โมหะชุดที่เกิดทีหลังต้องร้ายกาจกว่าที่เกิดขึ้นชุดก่อนเสมอไป, โลภะ โทสะ โมหะเกิดเป็นชุดๆ อยู่เรื่อยมาๆ ชุดหลังๆ ยิ่งร้ายกาจกว่าชุดแรกเสมอไป, ฉะนั้นโลกนี้ยิ่งเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ที่ร้ายกาจยิ่งๆ ขึ้นไปทุกที
มันทำสิ่งที่เกินจำเป็นมากขึ้นๆ มากขึ้น, ถ้าทำเท่าที่จำเป็นแล้ว ไม่มีปัญหายุ่งยากอย่างที่กำลังได้รับอยู่เดี๋ยวนี้ดอก ขอให้รู้จักว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น, อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์, อะไรเป็นเหตุให้ดับทุกข์, ให้รู้กันเสียบ้างเถิด แล้วมันก็จะต้องดีขึ้นเป็นธรรมดา, ความทุกข์จะไม่มากมายขึ้นตามความฉลาดๆ ที่มันฉลาดๆ จนไม่รู้จะฉลาดไปถึงไหน
พุทธทาสภิกขุ
เมื่อหายใจอยู่ในจินตนาการ เราทึกทักว่ามันคือเรื่องจริง
เมื่อนำความรู้มารับใช้จินตนาการ เรายิ่งทึกทักว่ามันสมเหตุสมผลที่จะสู้ ที่จะทำ ที่จะล้างผลาญคนอื่นผู้คิดเห็นและมีอุดมการณ์ไม่เหมือนเรา
คนหลายคนจึงหายไปเพราะอุดมการณ์
แต่อุดมการณ์ในจินตนาการไม่เคยหายไปเสียที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น