๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

ความรักนั้นก็อดทนนาน

เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ นักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์เคยอธิบายถึงความรักเอาไว้ว่า มันเป็น คุณค่าสัมบูรณ์ ในตัวเอง ไม่เหมือนคุณค่าอื่นๆ ที่มีลักษณะเป็นคุณค่าสัมพัทธ์ คือต้องเทียบเคียงกับสิ่งอื่นๆ จึงจะทำให้ตัวของมันเองเกิดมีความหมายขึ้นมา


สำหรับผม ความรักมักหมายถึงรูปแบบของการอดทนในระดับสูงที่สุด


สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถ้าเรารักใครสักคนอย่างจริงจัง เราจะไม่มีวันรักคนผิดตลอดกาล นั่นไม่ใช่อะไรอื่นนอกเสียจากการยอมรับ และรู้จักอดทนต่อแส้อันโบยตีของความรัก


นานมาแล้ว ผมมักคิดถึงความรักบ่อยๆ สงสัยว่ามันคืออะไร เป็นจริงอย่างที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ไหม นักบุญเปาโลเคยเขียนถึงความรักเอาไว้ว่า ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด....


ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนช่างจดจำความผิด หยิ่งผยอง หยาบคาย และมักคิดเห็นแก่ตนเองอยู่บ่อยๆ การคิดถึงความรักในความหมายนี้จึงคลับคล้ายกับการขัดเกลาตัวเอง


ใช่หรือไม่ว่า ที่เราฉุนเฉียว หยาบคาย อิจฉา หยิ่งผยอง เห็นแก่ตัว ล้วนเป็นเพราะเราไม่รู้จักอดทนนาน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเราไม่รู้จักความรัก



ตลอดประวัติศาสตร์ มนุษย์มักฉงนสนเท่ห์ต่อพลังอันมหาศาลของความรักที่กระทำต่อจิตใจของตัวเอง ว่าเพราะอะไรความรักถึงมีพลังมากมายเพียงนั้น ว่ากันว่า ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ค่ำคืนที่ทอดยาว เนิ่นนานขึ้นเหมือนชั่วชีวิต ฤดูร้อนผ่านไปรวดเร็วกว่าเก่า ความเจ็บปวดฝังรากลึกลงสู่ความร้าวราน อนาคตของเราเปลี่ยนแปลงไป บางทีเราก็โง่เขลา แต่บางคราวกลับชาญฉลาด คล้ายกับปรีชาญาณได้ปรากฏขึ้นภายในโดยไม่รู้ตัว

ว่ากันว่า ความรักนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้วิธีมีชีวิตอยู่


และกระทั่งวิธีตายของเรา



ไม่นานมานี้ ผมไปดูเทนนิสที่เมลเบิร์น วันนั้นมีนักเทนนิสชื่อดังมากมายมาลงแข่ง แต่สิ่งที่ผมหันไปมองบ่อยๆ ไม่ใช่ลูกเสิร์ฟเอซ หรือรีเทิร์นสะใจ


ทว่าเป็นคนสองคนที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ


เธอและเธอเป็นหญิงชรา ผิวของทั้งคู่เหี่ยวย่นไปทั้งตัว หน้าตาบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด คนหนึ่งถือไม้เท้า อีกคนนั่งอยู่เคียงข้าง เมื่อใครๆ โห่ร้องตะโกนให้กับแอนดี้ ร็อดดิค หรือมารัต ซาฟิน เธอทั้งคู่ได้แต่นั่งเฉยๆ มองดู และยิ้มอยู่จางๆ


เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน คนที่ไม่ได้ถือไม้เท้าเปิดกล่องอาหารหยิบยื่นส่งให้ แล้วทั้งคู่ก็นั่งกินแซนด์วิชอยู่ด้วยกันใต้แสงแดดจัดจ้าของออสเตรเลีย ไม่มีใครพูดกับใคร ต่างนั่งนิ่งๆ เงียบๆ ซึมซับความสุขและความรักในการดูเทนนิสอยู่ตลอดบ่าย


เราต่างก็รู้ใช่ไหม ว่านี่อาจเป็นการดูเทนนิสครั้งสุดท้าย


บางทีปีหน้า ใครคนหนึ่งอาจต้องมานั่งอยู่ที่นี่เพียงลำพัง หรือไม่ ก็อาจไม่มีใครได้มาดูเทนนิสที่นี่อีกแล้ว

ตอนนั้นเองที่ผมคิดว่า นี่แหละคือความรัก, ความรักนั้นก็อดทนนาน


และกว่าสองคนจะอยู่ที่นั่นด้วยกันได้อย่างสัมบูรณ์ พวกเขาก็ต้องผ่านความอดทนมาแล้วมากมาย

ชีวิตไม่ง่าย และมักเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่เมื่อวันหนึ่งที่ผิวของเราเหี่ยวย่นไปทั่วตัว และหันไปพบใครคนหนึ่งที่เหี่ยวย่นเหมือนกัน ชอบดูเทนนิสเหมือนกัน


ทั้งยังเห็นกันและกันมาตลอดชีวิต เราจะชวนเขาไปดูเทนนิสด้วยกันไหม หรือว่าเราจะได้แต่มองหน้ากันอย่างขมขื่น เพราะความขัดแย้งได้แยกเราออกจากกัน จนเราไม่ปรารถนาที่จะรักอีกต่อไป


กว่าจะหลอมรวมเข้าเป็นคุณค่าอันสัมบูรณ์ได้ เราต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไรต่อมิอะไรในชีวิตมามากมาย แต่ถ้าเราเลือกแล้วที่จะรัก เราก็ต้องอดทนนาน และไม่ช่างจดจำความผิด


เพราะนั่นคือสององค์ประกอบ ที่จะทำให้เราไม่มีวันรักคนผิดตลอดกาล

จะว่าอย่างไร-ถ้าเรามาอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต


ที่รัก,


ผมอยากเล่าให้คุณฟังถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่อยู่บนเกาะ


ปกติแล้วผมไม่ชอบเกาะ ผมมักรู้สึกว่า เกาะเป็นสถานที่อันห่างไกล การไปอยู่บนเกาะ แปลว่าเรากำลังจะตัดขาดจากผู้คน ไม่ได้เห็นสายลมของเมืองใหญ่ หรือสูดกลิ่นของถนนหนทางอันซับซ้อนในเมืองเหล่านั้นอีก


แต่ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น


คุณจะว่าอย่างไร-ถ้าเราจะมาอยู่ที่นี่ไปจนชั่วชีวิต


เราจะทำอะไรหรือ ไม่รู้สิ ที่นี่อาจเป็นเกาะ แต่ที่นี่ไม่เหมือนเกาะห่างไกลอื่นใดในโลก เพราะใครๆก็เดินทางมาหาเราที่นี่ได้ ผมหมายถึงคนจากทั่วโลกน่ะนะ พวกเขามาสูดอากาศที่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำที่สุด (แปลกนะ-ที่ที่นี่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ผมหมายความว่า มันเป็นเกาะ และอยู่กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันกว้างใหญ่ ทำไมความชื้นถึงต่ำได้) พวกเขายังมานั่งดูทะเล มาร่วมรัก มาว่ายน้ำสีน้ำเงินเข้มที่อาจกลายเป็นฟ้าเทอร์คอยซ์ได้ถ้าท้องฟ้าเป็นใจ รวมทั้งยังมาปาร์ตี้จนถึงเช้า และล่วงเลยไปถึงเช้าของอีกวันไม่หลับไม่นอน รวมทั้งมานั่งดูพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในโลก ทั้งที่มันก็เป็นพระอาทิตย์ดวงเดิมที่ร่วงลงไปในท้องทะเลธรรมดาๆนี่แหละ


ผมกำลังนั่งดูพระอาทิตย์ดวงนั้น


อากาศของฤดูร้อนสบายดี ขอบทะเลฟุ้งขึ้นกลืนกับขอบฟ้า ผมอยากเอนตัวลงนอนบนหินก้อนใหญ่นั่น มองดูดอกเฟื่องฟ้าสีแปร๋นตัดกับท้องฟ้าสีเข้มล้ำลึก แต่ตีนของนักท่องเที่ยวยัดเยียดอยู่บนพื้นหิน รั้วหิน และไต่ไปอยู่บนยอดเนินตรงโน้นเต็มไปหมด ขืนผมลงนอน บางทีอาจไม่ได้ลุกขึ้นอีก


ทุกคนมารอดูพระอาทิตย์ตก


ความแออัดยัดเยียดทำให้ผมตัดสินใจออกเดิน


ว่าแต่-ผมยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังใช่ไหม ว่าเมืองนี้คือเมืองอะไร


สำหรับผม นี่คือเมืองน่ารักที่สุดในโลก เป็นที่ที่ถ้าจากไปแล้ว ผมรู้ทันทีเลยว่าจะต้องคิดถึงมัน พร่ำเพ้อหาเหมือนดวงจันทร์ฝันถึงหญิงสาว เหมือนฝันถึงการขับรถออสตินคันเล็กจิ๋วไปตามถนนคดเคี้ยวในไร่องุ่นที่มีดินสีดำจากเถ้าภูเขาไฟให้สารอาหาร


Oia คือชื่อของเมืองน่ารักแห่งนี้ คุณถามว่าอะไรนะ มันอ่านว่าอะไรน่ะหรือ ผมก็ไม่แน่ใจนัก Oia จะอ่านว่าอะไร แต่คนแถวนี้เรียกเมืองนี้ว่าเอีย มันเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะซานโตรินี อดีตแอตแลนติสที่ล่มสลายลงเพราะภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก


เอีย...เอีย คุณท่องคำนี้ไว้ให้ดีนะ เพราะสักวันหนึ่ง ถ้าเรายังอยู่ด้วยกัน และไม่มีใครตายไปเสียก่อน เราจะมาอยู่ที่นี่ไปจนชั่วชีวิต-ผมสาบาน ผมไม่ได้ล้อเล่นกับตัวเองหรอกนะ


คุณจะลองกินขนมปังไหม คุณดูสิ ร้านนั้นทำระเบียงยื่นออกไปบนหน้าผา ข้างล่างนั้นมองเห็นคัลเดอรา หรือปากปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมาที่อยู่ตรงกลางหมู่เกาะ คุณอาจไม่เข้าใจ แต่ซานโตรินีไม่ใช่เกาะเกาะเดียว เมื่อก่อนอาจจะใช่ ตอนที่ภูเขาไฟยังไม่ระเบิด มันเป็นเกาะรูปกลมขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าคือแอตแลนติสอันโอฬารและทันสมัย แต่เมื่อภูเขาไฟระเบิดขึ้น ตรงกลางของแอตแลนติสก็ยุบตัวลง คุณดูสิ เกาะซานโตรินีที่เหลืออยู่จึงมีด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน หน้าผานี้โค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และมีเกาะอื่นๆคล้ายๆกันเรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยที่ตรงกลางเป็นอีกเกาะหนึ่ง ตรงกลางนั่นเองคือปากปล่องภูเขาไฟ


คุณว่าซานโตรินีเหมือนดินแดนเร้นลับไหม ตรงกลางของหมู่เกาะ ทะเลจะราบเรียบ เพราะคล้ายมีเกาะกั้นขวางอยู่ทุกทิศทุกทาง ไม่ใช่แค่ราบเรียบเท่านั้น แต่ยังลึกสุดหยั่งอีกด้วย หน้าผาเกิดจากการที่แผ่นดินเลื่อนยุบตัวลงฉับพลัน มันจึงเป็นหน้าผาที่แสนจะชัน แต่ผู้คนก็ยังเลือกจะขึ้นลงเรือที่ฝั่งนี้ของเกาะ เพราะเรือขนาดใหญ่สามารถเข้าเทียบท่าได้ง่าย แต่แล้วจากนั้น จะขึ้นมาถึงที่ลาดบนเกาะได้อย่างไรเล่า พวกเขาก็ต้องอาศัยถนนคดเคี้ยวไต่ขึ้นสู่ความสูงหลายร้อยเมตร ส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังเมืองฟิร่า อันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของซานโตรินี เมืองนั้นคล้ายๆพัทยา แต่สวยงามกว่าร้อยเท่า มีเสน่ห์มากกว่าพันเท่า


แต่ฟีร่าก็ไม่เทียบเท่าเอียหรอก


ผมชวนคุณกินขนมปังอยู่ไม่ใช่หรือ คุณจะไม่ลองบิขนมปังชิ้นใหญ่นั่นออกมาบ้างหรือ กลูเตน ใช่! ขนมปังนี้มีกลูเตน มันไม่ใช่ขนมปังกลูเตนฟรีหรือปลอดกลูเตนเหมือนขนมปังดัดจริตในเมืองใหญ่รักษาสุขภาพหรอกนะ แต่คุณดูสิ กลูเตนทำให้ขนมปังเหนียว และเปลือกของมันก็กรอบ ข้างในเนื้อขนมปังมีเครื่องเทศบางอย่างที่ผมไม่รู้จัก ออริกาโน่หรือ น่าจะใช่ หรือจะเป็นไธม์ ไม่แน่ใจนัก โลกยังมีเครื่องเทศอีกมากมายที่เราไม่รู้จักไม่ใช่หรือ


คุณลองบิขนมปัง แล้วจิ้มกับแซทซิกิดูสิ นี่คือความเป็นกรีกที่แท้ แซทซิกิคือโยเกิร์ตกรีกที่ข้นมันเป็นพิเศษ ที่จริงมันเป็นสูตรที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมดิเตอร์เรเนียน จากกรีกถึงตุรกี เลบานอน และอียิปต์ ด้วยการเอาโยเกิร์ตมาผสมกับกระเทียม แตงกวา เครื่องเทศ แล้วปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย เท่านี้ก็เป็นเครื่องจิ้มที่อร่อยล้ำเลิศแล้ว


ไวน์-ใช่ คุณต้องกินแกล้มกับไวน์ และจะเป็นไวน์อื่นใดไปไม่ได้ นอกจากวินซานโต หรือไวน์แห่งซานโตรินี


ตอนเรานั่งรถมาเอีย คุณเห็นที่ราบด้านล่างนั่นไหม มันเหมือนดินหรือหินที่ไหลได้ แล้วไหลแผ่ลามจากเชิงหน้าผาสูงไปสุดที่ฝั่งทะเลอีกข้างหนึ่ง ไม่ใช่อะไรหรอก พวกมันคือลาวา เป็นลาวาที่เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อนานมาแล้วโน่นปะไร


คุณคงรู้ใช่ไหม ว่าดินที่เกิดจากเถ้าภูเขาไฟนั้นเข้มข้น


อากาศที่นี่ก็เข้มข้น เพราะมันมีไอน้ำเจือปนอยู่น้อย ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ อากาศจึงเป็นอากาศ


โยเกิร์ตก็รสชาติเข้มข้น เพราะแพะแกะและวัวได้กินต้นไม้ใบหญ้าที่เกิดจากดินอันเข้มข้น น้ำนมของพวกมันจึงเข้มข้น


ถ้าคุณตื่นขึ้นมาแต่เช้าที่ซานโตรินี บางวันคุณอาจเห็นพระจันทร์ค้างอยู่บนท้องฟ้าสูงด้านตะวันตก และพระอาทิตย์อ้อยอิ่งอยู่ที่ปลายขอบฟ้าด้านตะวันออก


เหมือนซานโตรินีเป็นที่ซึ่งพระอาทิตย์กับพระจันทร์มานัดพบกัน ดาวอังคารและดาวศุกร์จึงต้องหลบหน้าไป


ผมกำลังจะบอกคุณว่า ในที่ที่เข้มข้นอย่างนี้ อากาศเข้มข้น ดินเข้มข้น แสงแดดเข้มข้น มนต์เสน่ห์เข้มข้น ความรักเข้มข้น การปฏิบัติบูชาเข้มข้น ไวน์ก็จะเข้มข้นไปด้วย


วินซานโตเกิดจากองุ่นในไร่ที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก ที่รัก คุณเคยเดินอยู่ในไร่องุ่นแห่งนั้น ไร่องุ่นที่มีองุ่นรายเรียง เถาของมันเลื้อยพันไม้ไต่ขึ้นไปอยู่บนคาคบ แล้วคุณก็เดินมองดูราที่เกาะบนเปลือกองุ่นได้ แต่องุ่นของซานโตรินีไม่ได้เติบโตอย่างนั้นหรอก ที่นี่อากาศแห้งเกินไป ฝนตกน้อยเหลือเกิน และลมก็พัดจัด องุ่นไม่ได้งอกขึ้นมาอย่างนั้น ชาวไร่องุ่นขุดหลุมลึก แล้วปลูกต้นองุ่นในหลุม แม้หลุมจะลึก แต่แสงแดดก็เข้มข้นพอจะให้ใบองุ่นปรุงอาหาร องุ่นจึงเติบโตได้ในหลุม พวกมันเป็นองุ่นที่หวานจัด เพราะมีน้ำน้อย ความชื้นต่ำ ความหวานจึงเกิดจากความเข้มข้นของการมีชีวิตอยู่ เมื่อมันกลายเป็นไวน์ จึงเป็นไวน์ที่ทั้งดรายและยังให้รสหวานติดปลายลิ้นด้วย


คุณจะหาไวน์อย่างนี้ได้ที่ไหนอีกเล่า


คุณจะหาเมืองอย่างนี้ได้ที่ไหนอีกเล่า


วินซานโตมีไม่มากนัก จงลิ้มลองดูเถิด เพราะซานโตรินีไม่ใช่เกาะใหญ่โตอะไร ผลผลิตองุ่นไม่ได้มากมาย ไวน์วินซานโตที่ออกสู่ท้องตลาดจึงมีไม่มาก ถ้าคุณจะท่องคาถาพอเพียง คุณอาจต้องมาท่องที่นี่ เพราะไม่มีใครที่นี่คิดจะเปิดโรงแรมเชนใหญ่โต ไม่มีใครคิดจะเปิดร้านหนังสือเชนขนาดใหญ่ ไม่มีใครคิดจะเปิดร้านอาหารแดกด่วนสาขาที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบเอ็ดบนซานโตรินี


วินซานโตก็เป็นแบบนั้น ถ้าคุณอยากดื่มวินซานโต คุณก็ต้องมาที่นี่


ลองดูสิ ลองเอนหลังลงไปบนเก้าอี้ไม้สีขาว เจ้าของร้านเพิ่งทาสีใหม่เมื่อต้นเดือนนี้เอง ก่อนหน้าที่ฤดูกาลท่องเที่ยวจะเริ่มต้นขึ้น สามเดือนที่แล้ว ฝนตก และไอทะเลก็กัดกร่อนสีของเก้าอี้จนซีดกร่อน แทบไม่มีใครอยู่บนเกาะ พวกเขาพากันขึ้นฝั่งไปใช้เงินที่หาได้ระหว่างฤดูกาลท่องเที่ยว หมู่เกาะคิคลาเดส (Cyclades) อันเป็นที่ตั้งของซานโตรินีนั้นเงียบเหงาเปล่าร้าง แทบไม่มีนักท่องเที่ยวแม้สักคน แมวบนเกาะซุกตัวหลบฝนที่แทบไม่เคยตกตลอดทั้งปีอยู่ตามเตาไฟที่ไม่มีใครจุด และดอกเฟื่องฟ้าในกระถางก็หยุดสะพรั่งบาน เพราะไม่มีใครใส่ปุ๋ย


เคยคิดถึงเวลาอย่างนั้นบ้างไหม-คุณเอ่ยถาม


ผมยิ้ม คิดสิ ที่รัก ผมตอบ แต่ผมก็ยังอยากจะอยู่ที่นี่ ผมอยากแบกถังวินซานโตไปขายในตลาด ทำขนมปังเนื้อเหนียวนุ่ม และอบมะเขือเทศให้เป็นสีแดงเข้มปนกับรอยเกรียมย่นๆ แล้วบดแตงกวากับกระเทียม เพื่อใส่ลงไปในโยเกิร์ต ทำแซทซิกิอร่อยที่สุดในโลกในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แล้วผมจะนั่งดูพระอาทิตย์ตกทุกวัน ไม่ว่าวันนั้นจะมีนั่งท่องเที่ยวแออัดยัดเยียด หรือเปียกโชกและเปล่าเปลี่ยวอยู่ตามลำพังแค่ไหน ไม่ว่าวันนั้นท้องฟ้าจะใสเป็นสีฟ้าเข้มเหมือนวันนี้ หรือลมจะพัดแรงจนแทบกระชากตัวผมตกลงมาจากหน้าผาแห่งนั้น และเมฆหมอกก็เข้ากลุ้มรุมทะเลจนมันเหมือนบ้านผีสิงที่ดิสนีย์แลนด์ ผมก็จะยังอยู่ที่นี่


ฟังดูไร้เดียงสาและโง่เง่าใช่ไหม


แต่กระนั้น ผมก็จะสอนให้คุณทำอาหารจานแรกที่ผมได้กินที่เมืองเอีย มันมีชื่อกรีกว่า ซุทซุคาเกีย (Soutsoukakia) จริงๆแล้วก็คล้ายๆกับคูสคูสและสตูว์มะเขือเทศที่เรากินที่กรุงเทพฯนั่นแหละ แต่ที่นี่ใช้ข้าวบาสมาติ และทำมีทบอลหย่อนลงไปในหม้อทองแดงที่เคี่ยวซอสมะเขือเทศเอาไว้หม้อเบ้อเริ่ม คุณตักข้าวขึ้นมาสิ ดูว่ามันเป็นสีเหลืองเพราะแซฟฟรอนแล้วหรือยัง จากนั้นก็ราดมีทบอลกับซอสมะเขือเทศสีแดงลงไป จะขูดปาร์เมซานชีสโรยหน้าไปด้วยก็ได้ เพื่อให้มันและเค็มมากขึ้น


มันเข้มข้นเกินไปหรือ คุณยังต้องรักษาหุ่นอีก ไม่เอาน่า ที่รัก คุณไม่เห็นหรือว่า ในยามเย็น ตรงจัตุรัสเล็กๆกลางเมืองเอีย จัตุรัสที่มีโบสถ์อยู่ข้างหนึ่ง หน้าผาและทะเลอยู่อีกข้างหนึ่งนั้น หญิงชราตัวใหญ่ต่างโพกผ้าและถือไม้เท้ามานั่งคุยกัน ผมอยากให้เราเป็นอย่างนั้น เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ผมอยากกุมมือคุณไว้ ไม่ว่ามือนั้นจะเหี่ยวย่น อวบอูม หรือสากกร้านเพียงไหน เราจะมองดูสายลมด้วยกัน ผมรู้ว่าลมอยากพัดเอาผ้าคลุมผมของคุณให้ลอยจากไป แต่ผมจะโอบศีรษะของคุณเอาไว้ขณะที่พระจันทร์ขึ้นและบาทหลวงตีระฆังโบสถ์บอกเวลามิสซาย่ำค่ำ


เวลาอย่างนี้ เราจะไม่คิดถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่จะชื่นชมการมีชีวิตอยู่ของเราด้วยกัน


คุณก็รู้เหมือนที่ผมรู้ใช่ไหม ว่าชีวิตของเรานั้นแสนสั้น และหากเรารู้เสียแล้ว ว่าเราอยากอยู่ที่ไหนในชั่วชีวิตนี้ ทำไมเราถึงจะไม่ไปอยู่ที่นั่นเล่า


คุณเห็นรอยแตกของหินที่โตรกผานั่นไหม มันเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ก่อนหน้านั้น มันเป็นแค่หินที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ใต้ฝีเท้าของชาวแอตแลนติส มันดูคงทนดีใช่ไหม แต่มันก็แตกร้าวได้ด้วยลมและไอทะเล ชีวิตของเราก็เหมือนประกาศกเอลียาห์ ท่านมาอยู่ที่นี่ บนอาราม ณ ที่สูงสุดบนซานโตรินี แต่ท่านก็จากไปกับวันเวลา พระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า เมื่อใกล้ถึงวันพิพากษา ประกาศกเอลียาห์จะมาปรากฏตัวอีกครั้ง คุณอยากให้วันนั้นมาถึงไหม วันที่เราอาจต้องแยกจากกันตลอดกาล เพราะคุณจะได้อยู่ในกลุ่มของคนดี ส่วนผมไม่


ฉะนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ คุณจะว่าอย่างไร หากเราจะมาอยู่ที่นี่ในชั่วชีวิตอันแสนสั้น


ผมจะถามคุณทุกวัน เรื่องของเอีย, จะว่าอย่างไร-ถ้าเรามาอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต


ผมจะถามคุณไปเรื่อยๆ-ที่รัก


จนกว่าคุณจะกล้าเอ่ยปากตอบในสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง


การเสพติดความเหงา


มีคนที่เหงา และคนที่ไม่รู้จักความเหงา


คนที่เหงามักถามคนที่ไม่รู้จักความเหงาว่า พวกเขาไม่รู้จักความเหงาได้อย่างไร เพราะความเหงา ดูคล้ายเป็นสมบัติติดตัวมนุษย์ในโลกยุคใหม่ เราเดินอยู่บนท้องถนน เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่เราก็ยังเหงา เรายังรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกคล้ายไม่เต็ม คล้ายยังพร่อง คล้ายยังต้องมีภาระหน้าที่ในการตามหาสิ่งเติมเต็มนั้นอยู่ เหมือนมีชิ้นส่วนบางอย่างที่ขาดไป และเราต้องหามาเติม


ที่จริง โลกมีคนที่ไม่รู้จักความเหงาน้อยยิ่งกว่าน้อย เพราะคนส่วนใหญ่มักหลงใหลความเหงา ความเหงาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบันเทิง ไม่ใช่แค่เพลงเหงาๆ ที่แต่งขึ้นมาให้คนเหงาฟัง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความบันเทิง ล้วนเกิดขึ้นเพื่อซ่อนเร้นความเหงา


ดูเผินๆ คล้ายว่าเสียงหัวเราะจะเป็นเหมือนสายลมพัดเป่าความเหงาให้สลายตัวไปได้ง่ายๆ แต่เสียงหัวเราะก็เหมือนตะเกียงอันเล็กๆในค่ำคืน เมื่อมันดับลง ความมืดก็เข้าครอบคลุมได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายาม


ความเหงาก็มักเกิดขึ้นได้เอง โดยไม่มีใครต้องพยายามเช่นเดียวกัน


แต่ที่จริง ความเหงาเป็นเช่นนั้นไหม?


ดูเผินๆ คล้ายไม่มีใครต้องการอยู่ลำพัง เพราะกลัวความเหงา หลายคนบอกว่า ความรักทำให้เกิดการร่วมรัก ทำให้เกิดการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วเป็นความเหงาต่างหากที่ผลักดันให้คนเรามาปะทะสังสรรค์กัน ความรักนั้นหาได้ยากยิ่งกว่าความเหงา เพราะฉะนั้น ในค่ำคืนที่มืดเงียบและเดียวดาย คนจำนวนมากจึงเลือกจะไปแสวงหากันและกันเพื่อละลายความเหงา ความเหงาจึงเป็นตัวการขับเคลื่อนสังคมในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และเรื่องทางเพศ


อำนาจของความเหงานั้นรุนแรงร้ายกาจ มันผลาญเผาคนตัวเล็กๆที่หลงใหลความเหงาให้มอดมลายลงไปได้ แต่ในเวลาเดียวกัน คนจำนวนมากก็พร้อมจะพลีตัวยอมเข้าสู่ความเหงา การต่อสู้ต่อรองกับอำนาจของความเหงาจึงเป็นเรื่องแปลก เพราะไม่ใช่การต่อสู้ต่อรองตรงๆเหมือนการปฏิวัติฝรั่งเศส คนจำนวนมากไม่ได้อยากกำจัดความเหงาให้สูญสิ้นไป แต่ตกหลุมรักความเหงา หลงใหลความเหงา และถึงขั้นเสพติดความเหงา เพื่อให้ความเหงาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความปรารถนาในตัวเองให้คุโชนลุกขึ้นได้ตลอดเวลา


ความเหงาจึงเป็นเรื่องเชิงอำนาจด้วย แต่เป็นอำนาจในการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองในการที่จะออกไปแสวงหาเพื่อนคลายเหงา หรืออย่างน้อยที่สุด ก็หาเรื่องบันเทิงใจทำ เพื่อไม่ให้ความเหงากรายเข้ามาใกล้


แต่แท้จริงแล้ว ในที่สุด ถ้าเราไม่เหงาอย่างแท้จริง เราก็จะไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้มาปลอบประโลมใจ ไม่ต้องใช้ความบันเทิงจอมปลอมมาฉาบย้อมให้คิดว่าไม่เหงา


ทว่า...มักไม่มีมนุษย์หน้าไหนปรารถนาจะ ไม่เหงาอย่างแท้จริง หรอก เพราะการไม่เหงาอย่างแท้จริง มักหมายถึงการออกเดินทางไกลไปลำพัง ยังสถานที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย เหมือนเมื่อพระพุทธเจ้าออกบวช และเหมือนเหมือนพระเยซูออกไปอยู่ในทะเลทรายตามลำพังเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน แล้วทั้งสองพระองค์ก็ต้องเผชิญกับมารที่มาผจญ


มนุษย์ทั่วไปไม่กล้าเผชิญกับมาร แม้ว่าเราจะอยู่กับมัน หรือเป็นตัวมันในบางขณะด้วยซ้ำ การเสพติดความเหงาก็คือการเสพติดมารโดยไม่รู้ตัว และมองไม่เห็น เรามักคิดว่า ความเหงาเกิดขึ้นมาเองของมันโดยที่เราไม่ได้สร้างมันขึ้น แต่แท้จริงแล้วเรามีส่วนสร้างความเหงาให้กับตัวเองอยู่มาก และเมื่อเกิดความเหงาขึ้น เราก็มักไม่เฝ้าดูมัน ไม่มองให้ชัดๆ ว่าที่แท้แล้วใบหน้าของความเหงาเป็นอย่างไร เรากลับหลบเลี่ยงมัน ด้วยการโทรศัพท์ไปหาเพื่อน เปิดโทรทัศน์ เล่นเฟซบุ๊ค หรือออกไปเที่ยว ทั้งหมดเป็นการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเป็นไปเพื่อเน้นย้ำที่ทางของเราในเน็ตเวิร์คอันซับซ้อน เพื่อยืนยันและอ้อนวอนขอร้องว่า...อย่าลืมฉัน


เราจึงเสพติดความเหงา เพราะเราเสพติดความสัมพันธ์เยี่ยงสัตว์สังคม


แต่ถ้าเราจะไปให้พ้นจากความเหงา เราก็ต้องไปพ้นจากความยึดติดในที่ทางและสถานะในสังคมของเราด้วย ไปพ้น ไม่ใช่ ไปให้พ้น ไม่ยึดติดไม่ใช่ตัดขาด เรายังอยู่ตรงนั้น ที่นั่น แม้จะเหงาบ้างในบางคราว แต่ความเหงาก็ไม่ใช่สมบัติของตัวเราอีกต่อไป


ดาวแต่ละดวงในเอกภพอยู่ห่างกันมากมายมหาศาล แต่ละกาแล็กซี่อยู่ห่างกันมากมายมหาศาล แต่พวกมันก็เพียงดำรงอยู่ ไม่ได้เหงา และส่งแรงกระทำถึงกันอย่างอ่อนๆอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้ตั้งใจทำ


ถ้าเราเข้าใจพวกมัน เราก็จะเข้าใจว่าทำไมคนบางคนจึงไม่รู้จักความเหงา


ทั้งที่พวกเขายังเป็นมนุษย์