๑๐ เมษายน ๒๕๕๓

ฉันทมติและความขัดแย้ง

ตั้งแต่เลิกใช้รถยนต์ ผมก็หันไปใช้บริการของรถสาธารณะในซอย ที่เรียกกันว่า รถป๊อกๆ อยู่บ่อยครั้ง

รถที่ว่า เป็นคล้ายๆกับรถกระบะคันเล็กๆ ส่วนใหญ่เป็นรถไดฮัทสุ ที่นำมาดัดแปลง ใส่หลังคากับที่นั่งเข้าไป ทำให้สามารถนั่งได้ถึงหกคนในด้านหลัง และอีกหนึ่งคนทางด้านหน้า (ไม่นับรวมคนขับ)

รถที่ว่า จะวิ่งวนอยู่ในซอยโชคชัยร่วมมิตร ปากซอยด้านหนึ่งเป็นถนนวิภาวดีรังสิต อีกด้านหนึ่งเป็นถนนรัชดาภิเษก ซึ่งมีสถานีรถไฟฟ้าอยู่ด้วย โดยรถจะจอดเข้าคิวกันอยู่ทั้งสองฝั่ง รถที่ว่า เป็นบริการสาธารณะที่ผู้คนใช้บริการกันมาก โดยเฉพาะในช่วงเร่งด่วน จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนเม็ดเลือดแดงขนส่งฮีโมโกลบิน (คือผู้คน) จากที่อยู่ในซอยที่เปรียบเหมือนเส้นเลือดฝอย ออกไปยังเส้นเลือดใหญ่อย่างถนนวิภาวดีรังสิตหรือถนนรัชดาภิเษก (และรถใต้ดิน)

สมัยก่อน รถป๊อกๆที่ว่า เมื่อจอดอยู่ตรงคิวรถ ถ้ามีคนขึ้นแม้เพียงคนเดียว รถก็จะออก ด้วยความที่ในซอยมีผู้โดยสารรอใช้บริการระหว่างทางเป็นจำนวนพอสมควร หรือแม้แต่ไม่มีผู้โดยสาร ก็คาดว่าค่าโดยสาร 7 บาทนั้น น่าจะคุ้มค่าแก๊ซอยู่พอสมควร เพราะทุกคันทำอย่างนั้นกันหมดเหมือน คล้ายกับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งทำให้ผู้โดยสารในซอยรู้สึกดีที่ไม่ต้องรอให้รถเต็มเสียก่อน รถถึงจะออก

บางคนถึงขั้นบอกว่า นี่คือความงดงามอย่างหนึ่ง เป็นลักษณะพิเศษของรถป๊อกๆในซอยโชคชัยร่วมมิตร เป็นการให้บริการที่เข้าใจความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง

แต่กระนั้น ในระยะหลังๆ ปรากฏว่า รถป๊อกๆในคิว โดยเฉพาะคิวตรงถนนรัชดาภิเษก มักจะจอดรอผู้โดยสารที่ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดิน ให้ขึ้นรถจนเต็ม 6-7 ที่นั่งเสียก่อน ถึงจะออกรถ

ผมเข้าใจว่า ผู้โดยสารจำนวนมากไม่ได้บ่นว่าอะไรมากนัก ภายในใจอาจรู้สึกอยู่บ้าง แต่ผมไม่เห็นใครแสดงออก ทุกคนอาจ เข้าใจ ก็ได้ ว่าในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ค่ารถ 7 บาท อาจไม่มากพอ และการรอให้คนเต็มรถก็ไม่ได้รอนานมาก

ทั้งหมดจึงฟังดู สมเหตุสมผล ดีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาแง่มุมทางเศรษฐกิจ ที่แม้ไม่เป็น win-win situation เพราะผู้ให้บริการได้ลูกค้ามากขึ้น แต่ผู้รับบริการเสียประโยชน์ แต่การเสียประโยชน์นั้นยังถือว่าไม่มาก เนื่องจากรถแต่ละคันแค่รอคอยผู้โดยสาร 6 คน เท่านั้น ไม่เหมือนรถสองแถวทั่วไปที่ต้องรอผู้โดยสารจำนวนมากก่อนออกรถ ทำให้ผู้โดยสารต้องเสียเวลานานเกินไป แถมผู้โดยสารส่วนใหญ่ยังเป็นผู้โดยสารที่กรูกันขึ้นมาจากรถใต้ดิน ซึ่งแต่ละขบวนทิ้งเวลาห่างกันไม่มากนัก ใช้เวลาไม่นานก็เต็มคันรถแล้ว

เอาเข้าจริงแล้ว ผมอดคิดไม่ได้ว่า มันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจไม่น้อยทีเดียว ยิ่งถ้าพิจารณาในมิติของสิ่งแวดล้อม ก็อาจถือว่าเป็น win-win situation ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าเรานับรวมเรื่องการปล่อยคาร์บอนของรถแต่ละคันออกมา การรอให้ผู้โดยสารเต็มรถก็ทำให้เกิดระบบคล้ายๆกับคาร์พูล จึงช่วยลด คาร์บอนฟุตพรินท์ ลงไปได้นิดหน่อย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าทำไม่ใช่หรือ

ทว่าแม้คิดเช่นนั้น ในเวลาเดียวกน ผมก็กลับ รู้สึก ว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป

สิ่งที่ขาดหายไปไม่ใช่ เหตุผล

แต่คือความงามบางอย่างของชีวิตที่อธิบายออกมาให้ใครฟังไม่ได้ เพราะถ้าอธิบายออกมา ผมเข้าใจว่าอาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้งประมาณว่า...ก็เพราะคุณเป็นชนชั้นกลาง (กลวง!) น่ะสิ คุณจึงได้ ‘Romanticize’ แม้กระทั่งรถป๊อกๆ ทำให้เรื่องนี้โรแมนติก เพียงเพื่อประโยชน์เล็กๆน้อยๆของตัวเอง คือเห็นการออกรถแม้มีผู้โดยสารหนึ่งคนว่าเป็นเรื่องน่ารัก เป็นน้ำเนื้อของชีวิต เป็นน้ำจิตน้ำใจ เป็นวัตรปฏิบัติที่ไม่เห็นแก่เงิน ทั้งที่ถ้าคุณรู้จักการแบ่งปันจริงๆ คุณต้องรู้จักรอ เพื่อให้คนขับรถป๊อกๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี ถึงได้ทนร้อนมาขับรถป๊อกๆอยู่อย่างนี้, ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นแม้เพียงอีกนิดก็ยังดี

ผมเข้าใจข้อโต้แย้งอย่างนี้ จึงไม่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับพวกเขาว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงไม่ทำอย่างที่เคยทำ

แล้วผมก็ทำใจ (ตามประสาชนชั้นกลางที่หลงใหลอดีตแบบ Nostalgia) ว่าสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว คงเป็นสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ผมไม่อาจเรียกร้องให้สิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้วหวนคืนกลับมาได้อีก และผมก็จะไม่ก่นด่าปัจจุบันด้วยว่ามันย่ำแย่อย่างนั้นอย่างนี้เหมือนคนแก่ๆจำนวนหนึ่งที่เอาแต่หวนหา Good Old Days ทั้งที่มันอาจไม่ได้ Good อะไรนักหนา แต่อิทธิพลของ Nostalgia ทำให้มันแลดู Good ไปอย่างนั้นเอง

แต่แล้ว...อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หัวใจของผมเต้นตูมตามเป็นจังหวะประหลาด เมื่อเดินมาที่คิวรถป๊อกๆในเย็นวันหนึ่ง แล้วเห็นป้ายเล็กๆป้ายหนึ่งติดอยู่ที่กำแพงข้างๆคิวรถ

ผมจำข้อความในป้ายนั้นไม่ได้ถนัดถนี่ แต่ใจความของป้ายนั้นเป็นคล้ายๆอย่างนี้

คิวรถในซอยโชคชัยร่วมมิตรไม่ใช่คิวรถสองแถวที่ต้องรอให้คนเต็มก่อนถึงออก เมื่อก่อน มีผู้โดยสารแค่ 1-3 คน ก็ออกรถกันได้แล้ว แต่ปัจจุบันมีคนเห็นแก่ตัวบางคนมาทำให้เสีย ด้วยการรอให้คนเต็มรถก่อนถึงออก ต่อไปนี้ ถ้ามีคน 1-3 คน ก็ให้ออกรถกันได้แล้ว และห้ามวนรถตัดหน้ากันมารับผู้โดยสารด้วย

ตอนแรกป้ายนั้นไม่มีการลงชื่อ แต่มีคนมาเขียนชื่อและเบอร์โทรห้อยท้ายภายหลัง แรกทีเดียวผมคิดว่าป้ายนี้คงอยู่ได้ไม่นาน น่าจะมีใครมาฉีกมันออก แต่มันก็ยังยืนยงคงอยู่จนกระทั่งถึงเมื่อวานก่อนวันที่ผมเขียนต้นฉบับนี้

มองเผินๆ เหมือนป้ายนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับผม เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้กลับสะท้อนถึงเรื่องที่ใหญ่โตมากในบ้านเมืองของเรา

ป้ายนี้บอกอะไรเราบ้าง?

อย่างแรก ผมคิดว่าการที่ป้ายนี้ยังยืนยงคงอยู่มาได้ แปลว่าในป้ายนี้ต้องมี Consensus หรือฉันทมติบางอย่างค้ำจุนอยู่ข้างใน

อย่างที่สอง ผมคิดว่าฉันทมตินี้แสดงให้เห็นเราถึงการต่อสู้ต่อรองของ อำนาจและ วาทกรรมหลายอย่าง หลายระดับชั้น ตั้งแต่วาทกรรมเชิงเศรษฐกิจ วาทกรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (ที่ผมอาจคิดไปเองอยู่คนเดียว) และวาทกรรมเชิงวัฒนธรรม หรือธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งแต่ละวาทกรรมมี อำนาจของตัวเอง ที่ต่างก็ งัดออกมาต่อสู้ต่อรองกัน จนเกิดเป็นฉันทมติที่ว่าขึ้น

สำหรับซอยโชคชัยร่วมมิตร ชัยชนะของป้ายนี้ (ถ้ามันยังอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ก็แปลว่าได้ชัยชนะไปจนกว่าจะถูกปลด) ถือเป็นชัยชนะของเรื่องเชิงวัฒนธรรมที่มีเหนือเรื่องเศรษฐกิจ (ขอยกเรื่องสิ่งแวดล้อมออกไปก่อนก็แล้วกันครับท่านประธาน-เพราะอาจไม่มีใครในซอยคิดเรื่องนี้เหมือนผมก็เป็นได้)

แต่จะเป็นชัยชนะของอะไรเหนืออะไรก็แล้วแต่ ก่อนหน้าที่ป้ายนี้จะปรากฏตัวขึ้น แปลว่ามันต้องผ่านการต่อสู้ต่อรองกันมาระดับหนึ่งแล้ว และผมเดาเอาว่า ต้องผ่านสิ่งที่เราเรียกว่าการ ทะเลาะ หรือ ถกเถียง หรือ ขัดแย้ง กันมาพอสมควร เพราะถ้าไม่ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาก่อน มันไม่น่าจะอยู่ได้ แต่ถ้ามันอยู่ได้ แปลว่าแม้คนที่เห็นขัดแย้ง ในที่สุดเมื่อผ่านกระบวนการทะเลาะแล้วเสร็จ พวกเขาก็ ยินยอม ให้เกิดฉันทมตินี้ขึ้น แม้ดูเหมือนความขัดแย้งนั้นจะกระทบโดยตรงกับเงินในกระเป๋าของตัวเองที่อาจได้น้อยลง (ซึ่งก็ต้องเถียงกันต่อไปว่าน้อยลงจริงไหม เพราะการวนรถบ่อยๆให้เกิด Circulation มากขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วอาจได้เงินจากผู้โดยสารเท่าเดิมหรือแม้แต่มากขึ้น แทนที่จะต้องจอดแช่อยู่นานๆเพื่อรอให้คนเต็มรถคันหน้าๆเสียก่อน)

ฉันทมตินี้แสดงให้เห็นว่า ชุมชนนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องเชิงวัฒนธรรมและวัตรปฏิบัติมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ (หรือเงิน) ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย ว่าถ้าจะถูกกล่าวหาว่า ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ โรแมนติก หรือเพ้อฝัน และไม่ยืนอยู่บน ความจริงของชีวิต คือเรื่องเงินและปากท้อง อย่างน้อยๆผมก็ไม่ได้ยืนอยู่บนจุดยืนอันโรแมนติกเพียงลำพัง (บางคนทำยังกับว่าความโรแมนติกหรือการ Romanticize เป็นเสียดจัญไรยังงั้นแหละครับ!)

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ป้ายนั้นบอกผมว่า สังคมของเรามีความขัดแย้งกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็น และความขัดแย้งไหนๆก็ไม่อาจหมดไปได้ด้วยการเห็นพ้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ความขัดแย้งเพียงแต่หายไปชั่วคราวเมื่อมันพ่ายแพ้ต่อฉันทมติเท่านั้น แต่มันพร้อมจะกลับมาใหม่เสมอเมื่อการคานกันของอำนาจต่างๆมีการเปลี่ยนสมดุล

คำถามก็คือ เราจะจัดการให้ฉันทมตินั้นเป็นเรื่องที่ยุติธรรม ชอบธรรม และมีสันติธรรมได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเอะอะขัดแย้งกันก็ต้องทะเลาะกันด้วยวิธีที่รุนแรง และคนในซอยโชคชัยร่วมมิตรก็ได้แสดงให้เห็นว่า ฉันทมติสามารถได้มา โดยไม่ต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรง (แม้ถ้อยคำจะรุนแรงอยู่บ้าง)

คำถามสำหรับสังคมใหญ่ก็คือ เราเรียนรู้ที่จะทะเลาะกันอย่างสันติได้ไหม และเมื่อทะเลาะกันอย่างสันติเรียบร้อยแล้ว เราเรียนรู้ที่จะยอมรับได้ไหมว่าฉันทมติหนึ่งๆสามารถถูกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ฉันทมติไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกที่จะต้องสถิตย์นิ่งอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ป้ายนั้นอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้นตลอดไป วันหนึ่งมันอาจถูกฉีกออก แล้วทุกคนก็อาจได้ร่วมกันลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มเวลาในการเดินทางขึ้นอีกนิดหน่อย

เมื่อโครงสร้างอำนาจเปลี่ยน เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่เราคิดว่าเล็กๆน้อยๆเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ

และเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน-ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น