๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕

ฝนตกที่บ้าน



                ไม่รู้ว่าคุณรักสายฝนไหม แต่ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า สายฝนเป็นทั้งสิ่งน่ารักและน่าพรั่นพรึงในเวลาเดียวกัน เขาบอกว่า กลิ่นไอดินอันแสนหอมหวานนั้น นำมาซึ่งความสงสัยว่าในอีกชั่วขณะถัดไป อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกเล็กๆของเราได้บ้าง พายุหนัก สายฟ้าฟาด หรือฝนอ่อนหวานที่พรำสายไม่รู้จักหยุดหย่อน
                เวลาฝนตก ใครบางคนชอบซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ตัวหนานุ่มริมหน้าต่าง เม็ดฝนที่กระเซ็นมากระทบกระจกชวนให้คิดถึงการหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่าน แต่หนังสือเล่มไหนๆอาจไม่เหมาะสมกับฤดูฝนมากเท่างานเขียนครุ่นคิดที่มีภาษาแสนงามเหมือนงานของเฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) นักปรัชญาอเมริกันผู้เดียวดาย
                ธอโรเคยพูดถึงสายฝนเอาไว้ว่า

                การเฝ้ามองหยาดหยดใสกระจ่างจากสรวงสวรรค์นั้นเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผมนัก เมื่อมวลเมฆและภูมิอากาศเคลื่อนเข้าปิดฟ้า เราสองก็เคลื่อนเข้าหาและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน หมู่เมฆมารวมตัวพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายอันเร่งรี่ของสายลม แล้วใบไม้กิ่งไม้ก็ร่วงหล่น เกิดความงามสอดผสานระหว่างความสงบสบายภายในและการเปิดรับโลกภายนอก สายฝนและต้นไม้จะทำหยดฝนร่วงหล่นใส่เมื่อคุณเดินผ่าน ภาพเลือนรางที่มองผ่านม่านฝนออกไปรอบตัวทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองกระจ้อยร่อยลง สิ่งเหล่านี้แหละคือโลกในเขตแดนของผม เขตแดนอันไร้ผู้รบกวน

                คำว่า เราสอง ของธอโร ไม่ได้หมายถึงเขากับใครคนใดคนหนึ่ง ทว่าคือระหว่างเขากับธรรมชาติ สายฝนนั้นสั่นคลอนความแน่นอนมั่นคงบางอย่าง โลกที่เคยสุขสบายของเราเปลี่ยนแปลง มันถูกขัดจังหวะด้วยสายน้ำที่พรมลงมา และเราไม่รู้แน่ ว่าสายฝนนั้นจะช่วยให้ความฝันของเราอ่อนหวานขึ้น หรือมันจะแปลงร่างเป็นฝันร้าย กรรโชกเฉือนเอาชีวิตและสิ่งรายล้อมที่เราคุ้นเคยไปจนหมดสิ้น
                แต่ที่แน่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตก มนุษย์มักชอบนั่งมองสายฝนอยู่กับตัวเองเหมือนนั่นเป็นธรรมชาติดั้งเดิมบางอย่างของเรา
                นักวิทยาศาสตร์แบ่งสายฝนออกเป็นสามแบบ แบบแรกคือสายฝนอันผ่อนคลาย เรียกว่า Orographic rain นี่คือสายฝนที่เราคนไทยน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด เพราะเป็นฝนที่เกิดขึ้นจากสายลมร้อนและชื้นพัดผ่านเข้ามาในแผ่นดิน ปะทะกับภูเขา แล้วทำให้เกิดฝนตก สายฝนแบบนี้มักทำให้อากาศชื้นจนอิ่มตัว และลมมรสุมที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย ก็มักเป็นสายฝนประเภทนี้
                ฝนอีกแบบหนึ่งเป็นฝนที่เกิดจากความร้อน เรียกว่า Convective Rain ถือเป็นลมฝนหลักของเขตร้อนและเส้นศูนย์สูตร ซึ่งในตอนกลางวันจะมีอากาศร้อนจัด ทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอมาก ฝนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดตามภูเขา แต่เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ที่อุณหภูมิสูง หลายคนเชื่อว่า ฝนที่ตกในเมืองใหญ่หรือเมืองที่มีอากาศร้อนเพราะการจราจรและคอนกรีต ก็อาจทำให้เกิดฝนแบบนี้ขึ้นได้เช่นกัน
                ฝนแบบสุดท้าย คือฝนที่เกิดจากพายุ ไม่ว่าจะเป็นพายุโซนร้อน พายุไต้ฝุ่น หรือแม้กระทั่งหย่อมความกดอากาศต่ำ ฝนแบบนี้อาจเกิดขึ้นรุนแรงมากน้อยตามความแรงของพายุ ถ้าเป็นเพียงหย่อมความกดอากาศต่ำ เราอาจพบกับสายฝนพรำที่ไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่หากเป็นพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุโซนร้อนหรือไต้ฝุ่น สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นหายนภัยร้ายกาจสุดคาดคิด
                เมื่อนั่งมองสายฝนอยู่ตามลำพังในบ้านของเราเอง เราอาจต้องทำความรู้จักกับสายฝนให้มากขึ้น ดูว่ามันเป็นสายฝนแบบไหน และเราควรรับมือกับสายฝนนั้นอย่างไร
                ไม่ใช่เพียงสายฝน, แต่ยังหมายรวมถึงสรรพสิ่งอื่นๆในชีวิตด้วย
                และโปรดอย่าลืม-ว่าบางครั้งการมองสายฝนด้วยสายตาแบบไหน...ก็อาจเป็นเรื่องเฉพาะตัว เพราะแม้ชาวกรีกโบราณจะมองว่า สายฝนคือการลงโทษของเทพเจ้า และชาวยุโรปมองว่าฝนเปรียบเสมือนอุปสรรค แต่จอห์น อัพไดค์ นักเขียนอเมริกัน กลับมองฝนด้วยสายตาอีกแบบหนึ่งไว้ว่า สายฝนนั้นสง่างาม มันคือผืนฟ้าที่ร่วงหล่นลงบนโลก ถ้าไม่มีฝน ก็ไม่มีชีวิต
                คุณจะคิดถึงสายฝนแบบไหน บางทีอาจขึ้นอยู่กับเมล็ดพันธุ์แห่งการระลึกรู้ที่คุณได้สั่งสมมาตลอดชีวิต
                และนั่นเอง คือสิ่งที่ก่อให้เกิดสุขหรือทุกข์ขึ้นในหัวใจ...
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น