ไม่รู้ว่าคุณรักสายฝนไหม
แต่ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า สายฝนเป็นทั้งสิ่งน่ารักและน่าพรั่นพรึงในเวลาเดียวกัน
เขาบอกว่า กลิ่นไอดินอันแสนหอมหวานนั้น นำมาซึ่งความสงสัยว่าในอีกชั่วขณะถัดไป
อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกเล็กๆของเราได้บ้าง พายุหนัก สายฟ้าฟาด หรือฝนอ่อนหวานที่พรำสายไม่รู้จักหยุดหย่อน
เวลาฝนตก
ใครบางคนชอบซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ตัวหนานุ่มริมหน้าต่าง
เม็ดฝนที่กระเซ็นมากระทบกระจกชวนให้คิดถึงการหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่าน
แต่หนังสือเล่มไหนๆอาจไม่เหมาะสมกับฤดูฝนมากเท่างานเขียนครุ่นคิดที่มีภาษาแสนงามเหมือนงานของเฮนรี่
เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) นักปรัชญาอเมริกันผู้เดียวดาย
ธอโรเคยพูดถึงสายฝนเอาไว้ว่า
การเฝ้ามองหยาดหยดใสกระจ่างจากสรวงสวรรค์นั้นเชื่อมโยงสัมพันธ์กับผมนัก
เมื่อมวลเมฆและภูมิอากาศเคลื่อนเข้าปิดฟ้า เราสองก็เคลื่อนเข้าหาและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
หมู่เมฆมารวมตัวพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายอันเร่งรี่ของสายลม แล้วใบไม้กิ่งไม้ก็ร่วงหล่น
เกิดความงามสอดผสานระหว่างความสงบสบายภายในและการเปิดรับโลกภายนอก สายฝนและต้นไม้จะทำหยดฝนร่วงหล่นใส่เมื่อคุณเดินผ่าน
ภาพเลือนรางที่มองผ่านม่านฝนออกไปรอบตัวทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองกระจ้อยร่อยลง
สิ่งเหล่านี้แหละคือโลกในเขตแดนของผม เขตแดนอันไร้ผู้รบกวน
คำว่า
‘เราสอง’ ของธอโร ไม่ได้หมายถึงเขากับใครคนใดคนหนึ่ง
ทว่าคือระหว่างเขากับธรรมชาติ สายฝนนั้นสั่นคลอนความแน่นอนมั่นคงบางอย่าง โลกที่เคยสุขสบายของเราเปลี่ยนแปลง
มันถูกขัดจังหวะด้วยสายน้ำที่พรมลงมา และเราไม่รู้แน่ ว่าสายฝนนั้นจะช่วยให้ความฝันของเราอ่อนหวานขึ้น
หรือมันจะแปลงร่างเป็นฝันร้าย กรรโชกเฉือนเอาชีวิตและสิ่งรายล้อมที่เราคุ้นเคยไปจนหมดสิ้น
แต่ที่แน่ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝนตก มนุษย์มักชอบนั่งมองสายฝนอยู่กับตัวเองเหมือนนั่นเป็นธรรมชาติดั้งเดิมบางอย่างของเรา
นักวิทยาศาสตร์แบ่งสายฝนออกเป็นสามแบบ
แบบแรกคือสายฝนอันผ่อนคลาย เรียกว่า Orographic rain นี่คือสายฝนที่เราคนไทยน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด
เพราะเป็นฝนที่เกิดขึ้นจากสายลมร้อนและชื้นพัดผ่านเข้ามาในแผ่นดิน ปะทะกับภูเขา
แล้วทำให้เกิดฝนตก สายฝนแบบนี้มักทำให้อากาศชื้นจนอิ่มตัว และลมมรสุมที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย
ก็มักเป็นสายฝนประเภทนี้
ฝนอีกแบบหนึ่งเป็นฝนที่เกิดจากความร้อน
เรียกว่า Convective Rain ถือเป็นลมฝนหลักของเขตร้อนและเส้นศูนย์สูตร
ซึ่งในตอนกลางวันจะมีอากาศร้อนจัด ทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอมาก
ฝนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดตามภูเขา แต่เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ที่อุณหภูมิสูง หลายคนเชื่อว่า
ฝนที่ตกในเมืองใหญ่หรือเมืองที่มีอากาศร้อนเพราะการจราจรและคอนกรีต
ก็อาจทำให้เกิดฝนแบบนี้ขึ้นได้เช่นกัน
ฝนแบบสุดท้าย
คือฝนที่เกิดจากพายุ ไม่ว่าจะเป็นพายุโซนร้อน พายุไต้ฝุ่น หรือแม้กระทั่งหย่อมความกดอากาศต่ำ
ฝนแบบนี้อาจเกิดขึ้นรุนแรงมากน้อยตามความแรงของพายุ
ถ้าเป็นเพียงหย่อมความกดอากาศต่ำ เราอาจพบกับสายฝนพรำที่ไม่รู้จักหยุดหย่อน
แต่หากเป็นพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุโซนร้อนหรือไต้ฝุ่น สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นหายนภัยร้ายกาจสุดคาดคิด
เมื่อนั่งมองสายฝนอยู่ตามลำพังในบ้านของเราเอง
เราอาจต้องทำความรู้จักกับสายฝนให้มากขึ้น ดูว่ามันเป็นสายฝนแบบไหน
และเราควรรับมือกับสายฝนนั้นอย่างไร
ไม่ใช่เพียงสายฝน,
แต่ยังหมายรวมถึงสรรพสิ่งอื่นๆในชีวิตด้วย
และโปรดอย่าลืม-ว่าบางครั้งการมองสายฝนด้วยสายตาแบบไหน...ก็อาจเป็นเรื่องเฉพาะตัว เพราะแม้ชาวกรีกโบราณจะมองว่า
สายฝนคือการลงโทษของเทพเจ้า และชาวยุโรปมองว่าฝนเปรียบเสมือนอุปสรรค แต่จอห์น
อัพไดค์ นักเขียนอเมริกัน กลับมองฝนด้วยสายตาอีกแบบหนึ่งไว้ว่า สายฝนนั้นสง่างาม
มันคือผืนฟ้าที่ร่วงหล่นลงบนโลก ถ้าไม่มีฝน ก็ไม่มีชีวิต
คุณจะคิดถึงสายฝนแบบไหน
บางทีอาจขึ้นอยู่กับเมล็ดพันธุ์แห่งการระลึกรู้ที่คุณได้สั่งสมมาตลอดชีวิต
และนั่นเอง
คือสิ่งที่ก่อให้เกิดสุขหรือทุกข์ขึ้นในหัวใจ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น